
โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมป่าชุมชน 700 ไร่ บ้านปากกลาง ตำบลตะกุกใต้ อำเภอวิภาวดี จังหวัดสุราษฏร์ธานี ด้วยกระบวนการวิศวกรสังคม
โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมป่าชุมชน 700 ไร่ บ้านปากกลาง ตำบลตะกุกใต้ อำเภอวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยกระบวนการวิศวกรสังคม เป็นการดำเนินโครงการเพื่อตอบ SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายคือทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มีความครอบคลุม ปลอดภัย ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงและยั่ง มีการกำหนดกิจกรรมโครงการภายใต้การทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อวางแผนและการพัฒนาที่อยู่อาศัย พื้นที่ของชุมชน ป่าชุมชน 700 ไร่ ให้มีความยั่งยืน รวมทั้งมีการจัดเวทีประเมินศักยภาพชุมชนร่วมกับหน่วยราชการ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ เพื่อกำหนดแผนการดำเนินกิจกรรม พร้อมกับการสร้างกลไกการมีส่วนร่วม 3 ระดับ ได้แก่
1) ก่อนดำเนินโครงการมีการจัดทำเวทีประชาคมเพื่อรับฟังความคิดเห็น และหาข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน
2) ระหว่างดำเนินกิจกรรมเป็นการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนเข้ามาดำเนินการขับเคลื่อนกิจกรรมร่วมกับนักศึกษา การสร้างเวทีชุมชนเพื่อเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงปัหาต่าง ๆ และกำหนดประเด็นในการพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น อย่างยั่งยืน
3) หลังดำเนินกิจกรรมเสร็จสิ้น มีการจัดกิจกรรมถอดบทเรียน สรุปผลการดำเนินงานและแนวทางในการพัฒนาป่าชุมชนอย่างยั่งยืน สำหรับผลลัพธ์ของโครงการมีดังนี้
1) การสร้างฝายชะลอน้ำด้วยนวัตกรรมกล่องเกเบี้ยนจำนวน 2 ฝ่าย
2) การจัดทำเส้นทางการศึกษาธรรมชาติในพื้นที่ป่าชุมชน พร้อป้ายระบุชื่อต้นไม้หายาก
3) การพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรในพื้นที่ป่าชุมชนด้วย App sheet จาก Google App 4) ไทม์ไลน์พัฒนาการชุมชนและกระบวนการดำเนินโครงการ
5) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย ชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน และหน่วยงานในพื้นที่ ในส่วนผลกระทบของโครงการ 6 โครงการ ได้แก่
1) ด้านสิ่งแวดล้อม: เกิดระบบนิเวศที่สมดุล ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าชุมชน ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนในระดับท้องถิ่น
2) ด้านสังคม: ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกัน
3) ด้านเศรษฐกิจ: สร้างโอกาสในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน
4) ด้านสุขภาพ: ชุมชนมีแหล่งสมุนไพรและสภาพแวดล้อมที่ดี ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน
5) ด้านการศึกษา: เกิดองค์ความรู้และต้นแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนในชุมชนและผู้สนใจ
6) ด้านนโยบาย: มีแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรป่าชุมชนที่ชัดเจน สามารถนำไปสู่การผลักดันนโยบายสาธารณะในระดับท้องถิ่นและระดับจังหวัด
ดังนั้น โคงการนี้เป็นการดำเนินกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ด้วยกระบวนการวิศวกรสังคมเพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนของชุมชนและการอยู่ร่วมกันของทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และมนุษย์









