คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ได้จัดโครงการ “สัปดาห์วิชาการทางรัฐศาสตร์ ครั้งที่ 2 : อำนาจ : ท้องถิ่น : กับอนาคตประเทศไทย”สัมมนาหัวข้อ “อำนาจท้องถิ่นกับอนาคตประเทศไทย”

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ได้จัดโครงการ “สัปดาห์วิชาการทางรัฐศาสตร์ ครั้งที่ 2 : อำนาจ : ท้องถิ่น : กับอนาคตประเทศไทย” ระหว่างวันที่ 27 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยได้รับเกียรติจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ธาตรี คำแหง คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็นประธานเปิดงาน กิจกรรมสำคัญในช่วงบ่ายคือการสัมมนาหัวข้อ “อำนาจท้องถิ่นกับอนาคตประเทศไทย” ซึ่งมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายจรูญศักดิ์ หนูศรีแก้ว เลขาสมาชิกวุฒิสภา นายคนองศิลป์ ชิตรกุล นายกเทศมนตรีตำบลบ้านส้อง รองศาสตราจารย์สิทธิกร ศักดิ์แสง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัศว์ศิริ ลาปีอี อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ และดำเนินรายการโดย ดร.ปฐภพ สุคนธจร ซึ่งล้วนเป็นบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเมือง การปกครอง และการพัฒนาท้องถิ่น

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเวทีทางวิชาการให้นักศึกษา อาจารย์ และผู้สนใจ ได้แลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองเกี่ยวกับบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาการเมืองไทย ตลอดจนเชื่อมโยงแนวคิดดังกล่าวกับอนาคตการบริหารประเทศ อีกทั้งยังมุ่งส่งเสริมให้นักศึกษาพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมือง และเห็นคุณค่าของกระบวนการประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการสร้าง สังคมที่สงบสุข โปร่งใส และมีกลไกการปกครองที่เข้มแข็ง ตามแนวทางของ SDG 16 ที่เน้นการเสริมสร้างสถาบันที่มีประสิทธิภาพและเปิดกว้างเพื่อประชาชนทุกคน

ผลการดำเนินโครงการสะท้อนถึงความสำเร็จในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยนักศึกษาและผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการกระจายอำนาจและทิศทางการพัฒนาประเทศจากมุมมองของทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และวงวิชาการ พร้อมทั้งมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์กับวิทยากร ทำให้เข้าใจมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เกี่ยวข้องกับการปกครองท้องถิ่นได้อย่างรอบด้าน นอกจากนี้ นักศึกษายังเกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านรัฐศาสตร์ สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ทั้งในเชิงวิชาการและการทำงานจริง เพื่อมีส่วนร่วมในการสร้าง สถาบันทางการเมืองที่ยุติธรรม เข้มแข็ง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อันเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน